13 สิงหาคม 2557,13 August 2014
เกี่ยวกับ พีทีที โกลบอล เคมิคอล,
รายละเอียด, DETAILS
นายบวร วงศ์สินอุดม (Bowon Vongsinudom)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
กล่าวถึงความคืบหน้าการร่วมทุนระหว่าง
PTTGC กับ PT Pertamina
บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซียว่า ขณะนี้
ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ
PT Indo Thai Trading หรือ "ITT"
โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงจาร์กาต้า ประเทศอินโดนีเซียแล้ว
โดยจะมุ่งเน้นการขยายตลาดกลุ่มโพลิเมอร์
เพื่อตอบสนองความต้องการของชาวอินโดนีเซีย ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ โพลิเอทิลีน (PE) โพลิโพรพีลีน (PP) และ
โมโนเอทิลีนไกลคอล ( MEG)
โดยระยะแรกจะนำสินค้าจาก PTTGC และจาก PT Pertamina ไปจัดจำหน่าย
เพื่อสร้างฐานตลาดรองรับโครงการร่วมทุนสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์
ที่มีแผนจะสร้างที่เมืองบาลองกัน (Balongan) ตอนกลางของเกาะชวา
ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียดโครงการโดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จและ
เริ่มดำเนินการผลิตใน ปี 2020 (พ.ศ. 2563)
การลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ระยะแรกจะมุ่งผลิตสินค้าเพื่อ
ตอบสนองความต้องการภายในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลักก่อน
และการมีฐานผลิตในอินโดนีเซียยังเป็นโอกาสอันดี
ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย
ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากถึงเกือบ 300 ล้านคนและ
มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีอัตราเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันยังต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจำนวนมาก
การร่วมทุนตั้งปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ โดยมี ITT เป็นบริษัทเทรดดิ้ง
จะสามารถช่วยลดการนำเข้าของประเทศอินโดนีเซียได้
ประมาณ 2,400-3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของตลาด โพลิเมอร์ในอินโดนีเซียในปี 2025
ก่อนหน้านี้ PTTGC ได้ลงนาม MOU และลงนามร่วมทุน (Joint Venture) กับ
PT Pertamina โดยมี
สัดส่วนการร่วมทุน PTTGC 49% และ PT Pertamina 51%
เพื่อจุดประสงค์ในการขยายตลาดกลุ่มสินค้าโพลิเมอร์ ในประเทศอินโดนีเซีย
และลงทุนร่วมในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่มีความครบวงจร
และมีความสามารถในการแข่งขันจากกำลังการผลิตขนาดใหญ่
* โดยมีโรงงานโอเลฟินส์ กำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี เป็นหน่วยผลิต ต้นน้ำ
* และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกต่อเนื่อง ที่ใช้วัตถุดิบจากโรงงานโอเลฟินส์
ได้แก่ PE PP และ MEG
นายบวร กล่าวถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2557 ว่า
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
มีรายได้ 152,401 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 6,085 ล้านบาท คิดเป็น 1.35 บาท/หุ้น
ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 46 จากไตรมาส 2/2556
ซึ่งมีกำไรรวมสุทธิอยู่ที่ 4,172 ล้านบาท
และปรับตัวลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาส 1/2557
ที่มีผลกำไรรวมสุทธิ 6,296 ล้านบาท
ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2557 ธุรกิจการกลั่นและธุรกิจโอเลฟินส์และ
ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
ขณะที่ผลิตภัณฑ์พาราไซลีนราคาลดลงเนื่องจากอุปทานส่วนเกินในตลาด
สรุปราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจต่างๆ ในไตรมาส 2/2557
กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก
ไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 106.13 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาความไม่สงบในยูเครนและ
ตะวันออกกลางทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่ออุปทานของน้ำมันดิบ
โดย Market GRM อยู่ที่ 4.44 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2556
กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์
ส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับวัตถุดิบคอนเดนเสทลดลงมาอยู่ที่
333 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ลดลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับ
ไตรมาส 2/2556 และลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2557
ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากอุปทานส่วนเกินในตลาด
ของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนที่ยังอยู่ในระดับสูง
จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่อัตราการขยายตัวของตลาดเพิ่มไม่ทันกำลังการผลิตใหม่
กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง
ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Adjusted EBITDA ใน ไตรมาส 2/2557
ของธุรกิจกลุ่มนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2556 ร้อยละ 5
และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2557 ร้อยละ 16
เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ
HDPE ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาส 2/2556 และ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาส 1/2557
ประกอบกับปริมาณขายได้เพิ่มขึ้นตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 2/2557 บริษัทฯ ยังมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบ และ
NRV (Net Realizable Value) สุทธิรวม 1,180 ล้านบาท
ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นระหว่างไตรมาส
อีกทั้งยังรับรู้กำไรจากการบริหารความเสี่ยงผลิตภัณฑ์
(Commodity Hedging) จำนวน 411 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/2557
บริษัทฯ ต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ
ของบริษัท Vencorex ในประเทศฝรั่งเศส
โดยแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวบริษัทฯ
จะทำการปรับปรุงหน่วยผลิต TDI (Toluene Diisocyanate) ในประเทศฝรั่งเศส
ให้เป็นหน่วยผลิต HDI (Hexamethylene Diisocyanate)
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยคิดเป็นค่าใช้จ่ายส่วนของ PTTGC
ในสัดส่วนร้อยละ 51 ประมาณ 1,142 ล้านบาท
สำหรับการออกหุ้นกู้เงินบาทชนิด
ระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 7 ปี
อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 นั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทั้งนี้
การออกหุ้นกู้ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุน
เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน และชำระคืนหุ้นกู้และหนี้เดิม
พีทีที โกลบอล เคมิคอล ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
โดยมีธุรกิจหลัก 7 กลุ่ม
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมีรวม 8.75 ล้านตันต่อปี
และมีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบและคอนเดนเสทรวม 280,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการลงทุน
เพื่อขยายธุรกิจสู่
* ธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialties Chemical) และ
* ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green)
WWW.CHEMWINFO.COM BY KHUN PHICHAI